วีรบุรุษผู้ถูกลืมของฟุตบอลโลก ฟาบิโอ กรอสโซ่

เรื่องราวของ ฟาบิโอ กรอสโซ่ (Fabio Grosso) คือหนึ่งในวีรกรรมที่น่าจดจำของฟุตบอลโลก ที่พิสูจน์ว่าผู้เล่นที่ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นวีรบุรุษในค่ำคืนที่สำคัญที่สุดได้ กรอสโซ่เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งในลีกระดับล่างของอิตาลี และถูกมองว่าเป็นเพียงกองหลังแบ็กซ้ายระดับกลางเท่านั้น ก่อนที่เขาจะถูกเรียกติดทีมชาติอิตาลีชุดลุยศึก ฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศเยอรมนี ในฐานะผู้เล่นที่ไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับกลายเป็นผู้เล่นที่สร้างโมเมนต์ตัดสินเกมสำคัญที่สุดถึงสองครั้ง

จุดเปลี่ยน: การล้มตัวเรียกจุดโทษสุดดราม่า

วีรกรรมแรกของกรอสโซ่เกิดขึ้นในรอบ 16 ทีมสุดท้ายที่อิตาลีพบกับออสเตรเลีย ขณะที่สกอร์เสมอกันอยู่ 0-0 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของการต่อเวลาพิเศษ (นาทีที่ 93) กรอสโซ่ได้เลี้ยงบอลทะลุแนวรับเข้าไปในกรอบเขตโทษ ก่อนจะล้มลงจากการเข้าปะทะของ ลูคัส นีลล์ ซึ่งนำไปสู่การได้ลูกจุดโทษอย่างดราม่า ลูกโทษนั้นถูก ฟรานเชสโก้ ต็อตติ สังหารเข้าไปอย่างเด็ดขาด ส่งให้อิตาลีผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ และลูกจุดโทษนั้นกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากถึงความเหมาะสม แต่สำหรับชาวอิตาลี มันคือความกล้าหาญที่นำมาซึ่งชัยชนะ

ประตูแห่งน้ำตาที่ดับฝันเจ้าภาพ

แต่โมเมนต์ที่ทำให้กรอสโซ่กลายเป็นตำนานอย่างแท้จริงเกิดขึ้นในรอบรองชนะเลิศที่พบกับ เยอรมนี เจ้าภาพ ทีมที่ได้รับการสนับสนุนจากแฟนบอลทั่วประเทศ และเกมก็ดำเนินไปอย่างตึงเครียดตลอด 119 นาที สกอร์ยังคงเสมอกันอยู่ 0-0 จนกระทั่งนาทีที่ 119 กรอสโซ่ได้เติมเกมรุกขึ้นมาทางซ้าย และรับบอลจาก อันเดรีย ปีร์โล่ ก่อนจะยิงด้วยเท้าซ้ายข้างไม่ถนัด ลูกโค้งเสียบเสาสองเข้าไปอย่างสวยงามและเด็ดขาด เป็นประตูที่นำอิตาลีขึ้นนำ 1-0 และทำให้เยอรมนีหมดโอกาสกลับมาในเกมนั้น

จุดโทษตัดสินแห่งแชมป์โลก

หลังจากประตูแห่งความปิติในรอบรองชนะเลิศ กรอสโซ่ยังคงมีบทบาทสำคัญในนัดชิงชนะเลิศกับฝรั่งเศส เมื่อการแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 และต้องตัดสินด้วยการดวลลูกโทษ ที่สำคัญคือ ฟาบิโอ กรอสโซ่ คือผู้เล่นคนที่ 5 และคนสุดท้ายที่ต้องรับหน้าที่ยิงลูกจุดโทษตัดสินชัยชนะ เขาเดินเข้าไปสังหารอย่างเยือกเย็นและยิงเข้าไปอย่างแม่นยำ ทำให้ทีมชาติอิตาลีคว้าแชมป์ ฟุตบอลโลก 2006 มาครองได้สำเร็จ

การจารึกชื่อในประวัติศาสตร์

เรื่องราวของ ฟาบิโอ กรอสโซ่ จึงเป็นวีรกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด เขาเป็นผู้เล่นที่ไม่มีใครคาดหวัง แต่กลับสร้างโมเมนต์สำคัญที่เปลี่ยนเส้นทางของเกมและโชคชะตาของทีมถึงสามครั้งในรอบน็อกเอาต์ ตั้งแต่ลูกจุดโทษกับออสเตรเลีย ประตูประวัติศาสตร์กับเยอรมนี ไปจนถึงลูกยิงจุดโทษสุดท้ายที่คว้าแชมป์ การตามรอยลูกหนังของเขาคือการตามรอย วีรบุรุษผู้ถูกลิขิต ที่จะปรากฏตัวในเวลาที่ประเทศต้องการมากที่สุด และจารึกชื่อตัวเองไว้ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกตลอดไป




ค่ำคืนที่ลิเวอร์พูลพลิกนรกใส่บาร์เซโลน่า

โค้ชคนปัจจุบันของสโมสร เอสซี ไฟรบวร์ก จูเลียน ชูสเทอร์


Post a Comment

ใหม่กว่า เก่ากว่า